ถ้าจะหานักฟุตบอลฝีเท้าดีซักคนในประเทศบราซิลคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะจะเอาแบบดีทั้งฝีเท้าและหน้าตา ชื่อแรกที่จะคิดถึงคงต้องเป็นริคาร์โด้ กาก้าอย่างแน่นอน
ริคาร์โด้ ไอแซคซอน ดอส ซานโตส เลเต้ หรือ “กาก้า” นั้น นับเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่งในประเทศบราซิล เขาประสบความสำเร็จทั้งในระดับทีมชาติและสโมสร รวมทั้งรางวัลส่วนตัวต่าง ๆ อีกมากมายหลายรายการ ระดับที่ต้องบอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้เล่นระดับเวิร์ลด์คลาส ในช่วงยุคเริ่มต้นปี 2000 เลยก็ว่าได้
นิยามของชายที่ชื่อว่า “ริคาร์โด้ กาก้า”
อย่างที่เราเห็นกันว่า “กาก้า” นั้นเป็นนักฟุตบอลที่เพียบพร้อมไปด้วยทั้งฝีเท้าและหน้าตา จนมีคนตั้งฉายาให้เขาว่า “เจ้าชายแห่งดินแดนกาแฟ” (ยังกับชื่อซีรีส์เกาหลี) ส่วนคำนิยามในการเล่นฟุตบอลของเขานั้นเอาแบบสั้น ๆ และได้ใจความคงจะต้องบอกว่า “เขาเล่นง่าย แต่หยุดเขายาก”
สาเหตุที่ต้องนิยามการเล่นของเขาแบบนั้นก็เพราะว่า เขาเป็นนักฟุตบอลที่ไปกับบอลได้ดี สามารถพาบอลทะลุทะลวงแนวรับได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องอาศัยการสับขาหลอกให้งงใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ใช้การเตะกระชากหนีไปซึ่ง ๆ หน้านี่แหละ แต่ด้วยความเร็วและความฉลาดในการชิงจังหวะก่อนคู่แข่งเสมอ ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะหยุดการกระชากของเขาโดยที่ไม่ทำฟาล์ว ซึ่งการทะลุทะลวงของเขานั้นก็ถูกนำไปต่อยอดด้วยการจบสกอร์และจ่ายให้เพื่อนร่วมทีม ที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยตำแหน่งการเล่นของเขาก็คือตรงกลางสนาม ไล่ตั้งแต่มิดฟิลด์ตัวกลาง ไปจนถึงตำแหน่งหน้าต่ำซึ่งทำให้ความสามารถของเขาทำอันตรายให้กับแนวรับของคู่แข่ง ในพื้นที่อันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เส้นทางสายฟุตบอลของกาก้า
สำหรับเส้นทางสายอาชีพนักฟุตบอลของกาก้านั้น ก็เหมือนกับเด็กชาวบราซิลผู้หลงใหลในกีฬาฟุตบอลทั่วไป ที่เริ่มต้นจากความชื่นชอบฟุตบอลในวัยเด็ก ต่อยอดสู่เส้นทางการเป็นยอดนักเตะระดับโลก แต่สำหรับเขาอาจจะดูดีกว่าคนอื่นตรงที่มีครอบครัวที่พร้อมจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องเสียสมาธิไปกับสิ่งอื่น ทำให้เขาโฟกัสเพียงแค่การเรียนและฟุตบอลได้อย่างเต็มที่ และเขาก็ไม่ทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นผิดหวัง ด้วยการก้าวไปสู่ความสำเร็จบนเส้นทางลูกหนังได้ในที่สุด
1.ระดับสโมสร
สโมสรแห่งแรกที่มองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวกาก้า ก็คือเซา เปาโลทีมดังในบ้านเกิดนั่นเอง โดยฝีเท้าของเขาในการเล่นระดับทีมโรงเรียนและดึงเขามาร่วมทีมตั้งแต่เป็นเยาวชนและได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในวัยเพียง 18 ปี และด้วยฝีเท้าของเขาที่โดดเด่นซะเหลือเกิน ทำให้เขามีเวลาอยู่กับเซา เปาโลเพียงแค่สองปีครึ่งเท่านั้นเอง แต่สองปีครึ่งและวัยละอ่อนของเขานั้นก็ลงเล่นในลีกให้ทีมชุดใหญ่ไปถึง 59 นัด และกดไปถึง 23 ประตูในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก แบบว่ากองหน้าหลายคนคงต้องอายเลยล่ะ
สำหรับทีมที่พาเขาก้าวมาปรากฏบนแผ่นดินยุโรป และเป็นที่รู้จักของแฟนบอลไปทั่วโลกก็คือปีศาจแดงดำ เอซี มิลานนั้นเอง ด้วยสนนราคาในขณะนั้นเพียงแค่ 8.5 ล้านยูโรเท่านั้นเอง และเขาก็ก้าวเข้ามาเป็นกำลังสำคัญให้กับปีศาจแดงดำทันที โดยประสานงานกับอันเดรีย ปีร์โล่ เจนนาโร่ กัตตูโซ่และคลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ สร้างแผงมิดฟิลด์ที่แข็งแกร่งอย่างมาก ให้กับทัพปีศาจแดงดำในขณะนั้น ทดแทนการร่วงโรยไปของรุย คอสต้า เพลย์เมคเกอร์ชาวโปรตุเกส ที่กำลังเข้าสู่ช่วงร่วงโรยพอดี แถมปีแรกของเขากับมิลานก็จบลงด้วยการคว้าสคูเดตโต้อีกต่างหาก นับว่าเป็นการเปิดตัวบนแผ่นดินยุโรปอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ด้วยความโดดเด่นของฝีเท้าและหน้าตา ทำให้ในช่วงนั้นทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นสัญลักษณ์ของมิลานเลยก็ว่าได้ และในปี 2007 ก็ต้องถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเขากับมิลาน เมื่อเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกมาครองได้สำเร็จ พร้อมทั้งตำแหน่งบัลลง ดอร์ของเจ้าตัวอีกด้วย เขาอยู่กับมิลานทั้งหมด 6 ฤดูกาล ลงสนามให้ทีม 270 นัด กับ 95 ประตู ได้แชมป์ลีก แชมป์ทวีป และแชมป์โลก(สโมสรโลก) อย่างละ l สมัย
ในปี 2009 ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ไดกลับมากางโปรเจ็คต์กาลาคติกอสอีกครั้ง โดยการดึงผู้เล่นระดับโลกชุดใหม่เข้ามาแทนการจากไปของบรรดาดาวดังที่ร่วงโรยไปตามวัย โดยดาวดังที่ราชันหมายหัวก็มีทั้งอลอนโซ่, โรนัลโด้, เบนเซม่า, และกาก้าก็ติดอยู่ในโผนั้นด้วย โดยมาดริดยื่นข้อเสนองาม ๆ ถึง 68.5 ล้านยูโรเพื่อล่อให้มิลานปล่อยตัวเขาข้ามมาอยู่สเปนและพวกเขาก็ทำสำเร็จ มาดริดได้ตัวเขาสมใจ ตัวเขาได้ความท้าทายใหม่ ๆ และรายได้มหาศาล ส่วนมิลานนั้นฟันกำไรเหนาะ ๆ 60 ล้านยูโร แต่เส้นทางของเขากับมาดริดไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเขามักจะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่บ่อยครั้ง จนเขาไม่สามารถลงเล่นช่วยทีมได้อย่างเต็มที่ สี่ฤดูกาลกับมาดริดเขาลงเล่นในลีกเพียงแค่ 85 นัดกับ 23 ประตู ได้แชมป์ลีกและฟุตบอลถ้วยอย่างละ 1 สมัยเท่านั้นเอง
หลังย้ายออกจากเบอร์นาบิวในปี 2013 เขาก็กลับไปอยู่กับมิลาน 1 ฤดูกาล ก่อนย้ายไปเล่นในอเมริกากับออลันโด้ ซิตี้ และกลับไปเล่นให้เซา เปาโลด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งปี และแขวนสตั๊ดกับทางออลันโด้ในปี 2017
2.ทีมชาติบราซิล
สำหรับเส้นทางของเขากับทีมชาตินั้น เขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติเร็วพอสมควร โดยเขาถูกเรียกติดทัพเซเลเซาครั้งแรกด้วยวัยเพียง 20 ปี และเล่นในชุดเยาวชนเพียงแค่ 5 เกมเท่านั้นเอง โดยนับตั้งแต่นั้น(ปี2002) เขาก็เป็นกำลังหลักทีมชาติมาตลอด โดย 14 ปีที่เขารับใช้ชาติ เขาลงเล่นไปทั้งหมด 92 นัด กับผลงาน 29 ประตู คว้าแชมป์โลก 1 สมัยบนแผ่นดินเอเชีย และคอนเฟเดอเรชั่นคัพ อีก 2 ครั้ง
ถ้าจะเทียบกันจริง ๆ กับความสามารถและชื่อเสียงของเขาแล้ว คงจะต้องบอกว่าเขาประสบความสำเร็จในแง่ของถ้วยรางวัลค่อนข้างจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็น จากการปัญหาการบาดเจ็บและการปรับตัวของเขา แต่ในแง่ของชื่อเสียงนั้น ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในยุคสมัยของเขา ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเขาอย่างแน่นอน
ตลอดช่วงเวลา 17 ปีที่เขาโลดแล่นอยู่บนผืนหญ้า เขาได้สร้างเรื่องราวอย่างมากมายบนเส้นทางลูกหนังไว้ให้แฟนฟุตบอลทั่วโลกกล่าวถึง และจดจำเขาในฐานะกองกลางตัวรุกตัวอันตราย ไอดอลช่วงปี 2000 ของเอซี มิลาน ดาวเตะที่หน้าตาดีที่สุดของบราซิล และจดจำว่าเขาคือ “เจ้าชายแห่งดินแดนกาแฟ” ริคาร์โด้ กาก้า