และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันจริงจังเสียที สำหรับคริส สมอลลิ่ง กับทางปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่เขาอยู่ด้วยมายาวนานนับสิบปี เมื่อทางสโมสรเอเอส โรม่าทีมดังในกัลโช่ ซีรี่อา อิตาลีตัดสินใจดึงตัวเขาไปร่วมทีมด้วยการซื้อขาดที่ราคา 15 ล้านยูโร หลังจากที่พวกเขาประทับใจฟอร์มของสมอลลิ่งในฤดูกาลก่อนที่พวกเขายืมตัวมาใช้งานแล้วก็ทำผลงานได้อย่างดี มันจึงเป็นการเซ็นสัญญาที่น่าจะทำให้มีความสุขกับทุก ๆ ฝ่ายโดยเฉพาะตัวของสมอลลิ่งเองที่จะได้หลุดพ้นจากช่วงเวลาที่ไม่ดีในโรงละครแห่งความฝันเสียที เรื่องราวของสมอลลิ่งกับปีศาจแดงนั้นมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2010 เมื่อก่อนตลาดหน้าหนาวปิดไม่กี่วัน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันบรมกุนซือได้คว้าตัวกองหลังดาวรุ่งวัย 20 ปีจากฟูแล่มมาร่วมทีมแบบไม่เปิดเผยค่าตัวแต่ก็มีข่าวซุบซิบกันว่าอยู่ราว ๆ 15-18 ล้านปอนด์ซึ่งในขณะนั้นมันเป็นค่าตัวที่มากพอสมควรเลย มันจึงทำให้ใครหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมท่านเซอร์ถึงยอมทุ่มเงินขนาดนั้นเพื่อซื้อนักเตะที่ฟูแล่มพึ่งคว้ามาจากทีมนอกลีกและลงเล่นให้กับพวกเขาเพียง 12 เกมเท่านั้นเอง และหลายคนมองว่าด้วยสายตาระดับท่านเซอร์น่าจะมองเห็นอะไรซักอย่างในตัวเขา ซึ่งถ้ามองเห็นได้ง่าย ๆ ก็คงจะเป็นร่างกายสูงใหญ่ เล่นลูกกลางอากาศได้ดีและมีความเร็ว แต่ดูเหมือนว่าความคาดหวังของท่านเซอร์จะไม่เป็นไปตามที่ฝัน เพราะตลอดช่วงเวลาที่อยู่กับทีมดูเหมือนว่าพัฒนาการของสมอลลิ่งจะไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะการออกลูกเหวอทำให้ทีมเสียประตูอยู่บ่อย ๆ จนทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของแฟนบอลไม่เว้นแม้แต่แฟนบอลฝั่งตัวเอง และมันยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีกเมื่อช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาโดนปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานจนทำให้ฟอร์มออกทะเลไปไกลกว่าเดิม จนทำให้ทางโอเล่ กุนนาร์ โซลชาปล่อยเขาไปเล่นกับโรม่าเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และการได้มาเล่นกับโรม่านี่แหละที่มันเป็นเหมือนการจุดประกายไฟในตัวของเขาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าการมาถึงของเขาจะไม่ได้มีใครสนใจมากนักจนแทบเหมือนกับคนเดินทางทั่วไปที่มาถึงกรุงโรม แต่อย่างน้อยที่นี่เขาก็ไม่ใช่ตัวตลกอีกต่อไป มันจึงทำให้เขากลับมามีความมุ่งมั่นอีกครั้งและที่สำคัญเขากลับมามีความสุขกับการเล่นฟุตบอลมากกว่าเดิม จนทำให้ผลงานของเขากับโรม่านั้นออกมาดีเกินคาด ทั้งแข็งแกร่งดุดันและนิ่งขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นกองหลังระดับแนวหน้าของลีกอิตาลีในฤดูกาลที่ผ่านมา และทำให้ทางโรม่าตัดสินใจคว้าตัวเขามาร่วมทีมถาวรในที่สุด ถึงแม้ว่าคริส สมอลลิ่งจะมีช่วงเวลาที่ไม่ดีนักในโอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่เขาก็ผ่านความสำเร็จและผ่านเกมระดับสูงมามากพอสมควร แถมมีแชมป์ลีก 2 สมัย เอฟเอคัพ…
จับตา อันซู ฟาติ เมื่อเด็กต่างดาวได้ก้าวขึ้นสู่ยานแม่อย่างเต็มตัว
ท่ามกลางวิกฤตต่าง ๆ ที่เข้ามารุมเร้าในถิ่นคัมป์ นู ของบาร์เซโลน่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด หรือผลงานในสนามที่อยู่ในช่วงที่ย่ำแย่อย่างหนักจนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงตัวของผู้จัดการที่จากกีเก้ เซเตียน มาเป็นโรนัลด์ คูมันในที่สุด และการก้าวเข้ามาของคูมันนั้นมันก็มีผลตามมามากมายทั้งในด้านดีและไม่ดี ด้านที่ไม่ดีก็อย่างเช่นการที่ต้องมีผู้เล่นซูเปอร์สตาร์บางคนที่ต้องย้ายออกไป แต่ในส่วนที่ดีนั้นก็คือการที่ผู้เล่นดาวรุ่งจากศูนย์ฝึกลามาเซียอันโด่งดังของพวกเขาอย่าง อันซู ฟาติ ได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวนั่นเอง ชื่อของกองหน้าดาวรุ่งซึ่งปัจจุบันมีอายุยังไม่เต็ม 18 ปีอย่างอันซู ฟาตินั้นแฟนฟุตบอลโดยเฉพาะแฟนบาร์ซ่านั้นคงจะคุ้นชื่อของเขามาแล้วพอสมควร เพราะเมื่อฤดูกาลที่แล้วเขาก็ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังนับเป็นนักเตะสำรองตามแบบฉบับของดาวรุ่งทั่วไป แต่เขาก็ลงสนามทั้งตัวจริงและสำรองรวมแล้วถึง 28 เกมด้วยกันแถมยังสามารถตะบันไปได้ถึง 10 ประตูอีกด้วย แต่ในฤดูกาลนี้ฟาติก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมอย่างเต็มตัวพร้อมกับการได้รับสัญญาใหม่อีกด้วย และเมื่อบนรายชื่อ 11 ตัวจริงไม่มีชื่อของหลุยส์ ซัวเรซขวางอยู่ก็ทำให้เขามีโอกาสลงสนามมากยิ่งขึ้น โดยมีรุ่นพี่อย่างลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมที่คอยสนับสนุนเกมรุกของเขา พร้อมกับคอยประคองทีมชุดสร้างใหม่ของโรนัลด์ คูมันไปด้วย ซึ่งผลงานที่ออกมาในสนามของเขาก็ไม่ทำให้ตัวกุนซือและแฟนบอลผิดหวังแต่อย่างใด โดยในฤดูกาลใหม่ที่พึ่งเริ่มต้นขึ้นมาได้เพียง 6 นัดจากสองรายการคือลาลีกา สเปน 4 นัด ฟาติก็ลงเล่นครบทุกเกมและยิงไป 3 ประตูกับจ่ายให้เพื่อนอีก 1 ลูกอีกด้วย ส่วนในถ้วยใหญ่ของยุโรปที่พึ่งเริ่มเตะนัดแรกเขาก็ยังทำผลงานยิง 1 จ่าย 1 พาทีมถล่มคู่แข่งอย่างขาดลอยอีกด้วย ฟอร์มการเล่นและฝีเท้าของอันซู ฟาตินั้นนอกจากจะถูกยืนยันด้วยตัวเลขการทำประตูแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นการยืนยันความเก่งกาจของเด็กคนนี้ก็คือ การที่มีทีมใหญ่หลายทีมต่างให้ความสนใจในตัวเขา ชนิดที่เรียกได้ว่าจ้องตาเป็นมันเลยทีเดียวซึ่งทางบาร์ซ่าเองก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาจะไม่ยอมขายไม่ว่าจะที่ราคาเท่าไหร่ก็ตาม และสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากก็คือการก้าวขึ้นมาของเขามันอยู่ในช่วงปลายอาชีพค้าแข้งของตำนานคนเก่าอย่างเมสซี่อีกด้วย ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจจะได้เห็นการส่งต่อตำนานจากกัปตันเมสซี่…
อัจฉริยะที่ถูกมองข้าม เมซุท โอซิลกับฤดูกาลที่ไม่มีชื่อลงแข่งพรีเมียร์ลีก
นับเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นตะลึงอย่างมากสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรวมไปถึงแฟน ๆ ฟุตบอลจากทั่วโลกที่ได้ยินข่าวนี้ นั่นก็คือการที่กุนซือคนใหม่ของไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซน่อลอย่างมิเกล อาร์เตต้าได้ประกาศรายชื่อขุนพลของเขาที่จะใช้ในการสู้ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาล 2020-2021 นี้ออกมาเป็นที่เรียบร้อยโดยที่ไม่มีรายชื่อของจอมทัพระดับโลกชาวเยอรมันอย่างเมซุท โอซิล ซึ่งในการตัดสินใจครั้งนี้มันทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของฝีเท้าของโอซิลที่ถูกมองข้ามไปแทนที่จะได้ใช้ประโยชน์ของเขาในสนาม และยังมีค่าเหนื่อยมหาศาลที่พวกเขายังคงต้องจ่ายให้กับโอซิลอยู่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้งานเขาก็ตามรวมไปถึงเรื่องอนาคตของเขากับทีมว่าจะอยู่หรือไปอีกด้วย เมซุท โอซิลนั้นนับเป็นแข้งระดับโลกคนหนึ่งที่ผ่านความสำเร็จมาอย่างมากมายทั้งแชมป์ลาลีกากับเรอัล มาดริดและยังสามารถก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลกกับทีมชาติเยอรมันได้อีกด้วย และมันเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อยที่ทางบอร์ดบริหารของอาร์เซน่อลที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความขี้งกที่สุด จะยอมให้อาร์แซน เวนเกอร์กุนซือของทีมในขณะนั้นซื้อเขามาจากราชันชุดขาวโดยมีค่าตัวสูงถึง 50 ล้านยูโร แต่เขาก็ใช้เวลาไม่นานในการที่พิสูจน์ว่าเงินที่จ่ายค่าตัวของเขาไปนั้นมันคุ้มค่าเพียงใด และด้วยความสามารถระดับที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่งของวงการ มันก็ทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟนบอลเดอะกันเนอร์สได้อย่างง่ายดาย เรื่องราวของโอซิลกับอาร์เซน่อลมันเหมือนกับว่าจะสวยงามและโรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้รับสัญญาฉบับใหม่ที่ได้ค่าเหนื่อยสูงถึงสามแสนห้าหมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์ มันยิ่งทำให้ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะไม่ทิ้งทีมไปไหนและอยู่ไปจนกลายเป็นตำนานสโมสรอย่างแน่นอน แต่เรื่องราวก็วกเข้ามาสู่จุดแตกหักจนได้ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องในสนามหรือค่าเหนื่อยแต่อย่างใดเลย แต่กลับกลายเป็นเรื่องศาสนาและการเมืองต่างหากที่เข้ามาสร้างรอยร้าวนี้ เริ่มต้นจากการที่เจ้าตัวไปถ่ายรูปคู่กับผู้นำเผด็จการชาวตุรกีซึ่งเป็นที่เกลียดชังของบ้านเกิดเขาอย่างเยอรมัน จนทำให้เขาเป็นถูกแอนตี้จากแฟนบอลประเทศตัวเองจนทำให้เขาเลือกที่จะอำลาทีมชาติไปในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้สำหรับแฟนบอลอาร์เซน่อลก็ยังคงพอรับได้ถึงแม้จะมีส่วนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้รอยร้าวนั้นขยายใหญ่ขึ้นก็คือการที่เขาไปโพสต์โจมตีประเทศจีนในเรื่องการปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอุยกูที่เขาถือว่าเป็นเพื่อนมุสลิมของเขาอย่างรุนแรง และมันทำให้ทางการจีนไม่พอใจอย่างมากและตัดสินใจแบนเขาอย่างจริงจัง ซึ่งทำให้ทางสโมสรอาร์เซน่อลเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยปกป้องเขาได้ เพราะถึงอย่างไรประเทศจีนก็เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ถ้าหากกระแสการแอนตี้ลุกลามจากตัวนักเตะมาถึงระดับสโมสรแล้วละก็มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ ๆ มันจึงกลายมาเป็นสาเหตุให้เกิดสถานการณ์ดังเช่นที่เป็นอยู่นี้ในที่สุด นับจากนี้ไปยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ สำหรับอนาคตของเขากับทีม เขาอาจจะเลือกรับเงินฟรี ๆ ไปจนหมดสัญญาแล้วแยกย้าย หรือทางสโมสรจะขอยกเลิกสัญญาโดยการจ่ายเงินชดเชย หรือจะมีทีมไหนที่มีเงินพอจะจ่ายระดับสามแสนห้าต่อสัปดาห์ได้มารับช่วงไปใช้งานต่อ แถมทีมนั้นยังต้องเสี่ยงโดนแบนจากคนจีนทั้งประเทศอีกด้วย ดูแล้วไม่ว่าจะทางใดงานนี้อาร์เซน่อลมีแต่เสียกับเสีย ส่วนแฟนบอลอย่างเราก็คงจะเสียดายที่ไม่ได้เห็นการเล่นของนักเตะระดับโลกอย่างโอซิลไปอีกอย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งฤดูกาลอย่างแน่นอน
ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีกปีศาจ ชายผู้เป็นที่สุดในโรงละครแห่งความฝัน
สิ่งที่ไรอัน กิ๊กส์สร้างไว้ให้กับปีศาจแดง ตลอดอาชีพนักฟุตบอลของเขา มันมากมายและยากเกินกว่าจะมีใครซักคนทำได้ และมันทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาล สำหรับเรื่องราวระหว่างไรอัน กิกส์ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้น เหมือนทั้งสองฝ่ายจะเกิดมาเพื่อกันและกัน เพราะชีวิตนักฟุตบอลทั้งหมดของเขามีเพียงแค่สโมสรเดียวคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็มีเขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลด้วยเช่นกัน ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับยูไนเต็ดในฐานะนักฟุตบอลมันยาวนานถึง 27 ปี ซึ่งถ้าเทียบกับอายุปัจจุบันของเขา มันนานเกินครึ่งชีวิตไปมากเลยทีเดียว และเส้นทางฟุตบอลทั้งหมดของเขา มันเริ่มขึ้นและจบลงในสถานที่แห่งเดียวกัน จุดเริ่มต้นของไรอัน กิ๊กส์กับยูไนเต็ด แรกเริ่มเดิมทีนั้นเรื่องราวของไรอัน กิ๊กส์ อาจจะไม่ได้เดินสู่การเป็นตำนานบนเส้นทางที่เป็นสีแดง ถ้าไม่มีชายที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพราะเดิมทีตัวของเขาเป็นเด็กน้อยฝีเท้าดีวัยสิบสี่ ในศูนย์ฝึกเยาวชนของฝั่งสีฟ้าคู่อริร่วมเมือง แต่ก็ได้ท่านเซอร์ (ในขณะที่ยังไม่ติดยศ) ที่ติดใจในฝีเท้าเด็กคนนี้อย่างมาก จนแอบดอดไปเคาะประตูบ้านคุยกับผู้ปกครองและรับรองอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลลูกให้อย่างดี นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาได้ย้ายข้ามศูนย์ฝึกมาอยู่กับฝั่งสีแดง เขาคือหนึ่งในกลุ่มเด็กนรก คลาส ออฟ 92 อันลือลั่นของท่านเซอร์ แต่ด้วยความโดดเด่นเกินหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทำให้เขาถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ก่อนคนอื่นในคลาส โดยเขาได้รับการเสนอสัญญาในเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 17 ปีพอดี และในฤดูกาลเพียงแค่หนึ่งฤดูกาลหลังจากนั้น เขาก็สถาปนาตัวเองขึ้นไปเป็นกำลังหลักของทีมได้อย่างเป็นทางการ และนับจากนั้นมาเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของเขาก็เริ่มขึ้น เรื่องราวของตำนานที่ชื่อไรอัน กิ๊กส์ สำหรับเรื่องราวบนเส้นทางลูกหนังของไรอัน กิ๊กส์นั้นอาจไม่มีการเดินทางการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นเหมือนใครหลายคน เพราะทีมเดียวที่เขาเล่นให้ก็คือยูไนเต็ด แต่สิ่งที่ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นตำนานแห่งทัพปีศาจแดงก็คือในส่วนของความจงรักภักดี ความสามารถ และความสำเร็จต่างหากที่ทำให้เขาก้าวขึ้นไปอยู่ตรงจุดนั้น 1.เกียรติยศบนเส้นทางลูกหนัง นับตั้งแต่ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เพียงแค่ฤดูกาลที่สามเท่านั้น ซึ่งก็ตรงกับปีแรกที่เปลี่ยนชื่อจากดิวิชั่นหนึ่งมาเป็นพรีเมียร์ลีก…
ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมคเกอร์ผู้ได้ฉายาว่า เทพบุตรกาแฟ
ถ้าจะหานักฟุตบอลฝีเท้าดีซักคนในประเทศบราซิลคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะจะเอาแบบดีทั้งฝีเท้าและหน้าตา ชื่อแรกที่จะคิดถึงคงต้องเป็นริคาร์โด้ กาก้าอย่างแน่นอน ริคาร์โด้ ไอแซคซอน ดอส ซานโตส เลเต้ หรือ “กาก้า” นั้น นับเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่งในประเทศบราซิล เขาประสบความสำเร็จทั้งในระดับทีมชาติและสโมสร รวมทั้งรางวัลส่วนตัวต่าง ๆ อีกมากมายหลายรายการ ระดับที่ต้องบอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้เล่นระดับเวิร์ลด์คลาส ในช่วงยุคเริ่มต้นปี 2000 เลยก็ว่าได้ นิยามของชายที่ชื่อว่า “ริคาร์โด้ กาก้า” อย่างที่เราเห็นกันว่า “กาก้า” นั้นเป็นนักฟุตบอลที่เพียบพร้อมไปด้วยทั้งฝีเท้าและหน้าตา จนมีคนตั้งฉายาให้เขาว่า “เจ้าชายแห่งดินแดนกาแฟ” (ยังกับชื่อซีรีส์เกาหลี) ส่วนคำนิยามในการเล่นฟุตบอลของเขานั้นเอาแบบสั้น ๆ และได้ใจความคงจะต้องบอกว่า “เขาเล่นง่าย แต่หยุดเขายาก” สาเหตุที่ต้องนิยามการเล่นของเขาแบบนั้นก็เพราะว่า เขาเป็นนักฟุตบอลที่ไปกับบอลได้ดี สามารถพาบอลทะลุทะลวงแนวรับได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องอาศัยการสับขาหลอกให้งงใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ใช้การเตะกระชากหนีไปซึ่ง ๆ หน้านี่แหละ แต่ด้วยความเร็วและความฉลาดในการชิงจังหวะก่อนคู่แข่งเสมอ ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะหยุดการกระชากของเขาโดยที่ไม่ทำฟาล์ว ซึ่งการทะลุทะลวงของเขานั้นก็ถูกนำไปต่อยอดด้วยการจบสกอร์และจ่ายให้เพื่อนร่วมทีม ที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยตำแหน่งการเล่นของเขาก็คือตรงกลางสนาม ไล่ตั้งแต่มิดฟิลด์ตัวกลาง ไปจนถึงตำแหน่งหน้าต่ำซึ่งทำให้ความสามารถของเขาทำอันตรายให้กับแนวรับของคู่แข่ง ในพื้นที่อันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เส้นทางสายฟุตบอลของกาก้า สำหรับเส้นทางสายอาชีพนักฟุตบอลของกาก้านั้น ก็เหมือนกับเด็กชาวบราซิลผู้หลงใหลในกีฬาฟุตบอลทั่วไป ที่เริ่มต้นจากความชื่นชอบฟุตบอลในวัยเด็ก ต่อยอดสู่เส้นทางการเป็นยอดนักเตะระดับโลก แต่สำหรับเขาอาจจะดูดีกว่าคนอื่นตรงที่มีครอบครัวที่พร้อมจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องเสียสมาธิไปกับสิ่งอื่น ทำให้เขาโฟกัสเพียงแค่การเรียนและฟุตบอลได้อย่างเต็มที่…
ซีเนดีน ซีดาน ตำนานกองกลางที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ถ้าหากได้ดูการเล่นของซีเนดีน ซีดาน คุณจะเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เขาทำในสนาม และลีลาที่พลิ้วไหวสง่างามของเขา มันเต็มไปด้วยพลังการทำลายเกมรับของฝั่งตรงข้าม ถ้าหากไปถามแฟนบอลซักคนหนึ่งในโลกใบนี้ ที่ได้สัมผัสกับเกมฟุตบอลในช่วงปี 2000 ว่าเขาคิดว่ากองกลางคนไหนที่เขาคิดว่าเก่งที่สุดในโลก เชื่อว่าแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่าง จะพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคนนั้นก็คือ “ซีเนดีน ซีดาน” จอมทัพทีมชาติฝรั่งเศสอย่างแน่นอน นั่นเพราะแฟนบอลกลุ่มนั้นต่างก็เคยได้ชมฝีเท้าที่พลิ้วไหว สง่างามราวกับชมการร่ายรำ แต่มันกับเต็มไปด้วยประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเกม และการเอาชนะเกมรับฝั่งตรงข้ามซึ่งเขาทำมันครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านผู้เล่นที่ถูกส่งมาประกบเขาคนแล้วคนเล่า อย่างไม่รู้จักเบื่อนั่นจึงทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็น “กองกลางที่ดีที่สุด” เท่าที่โลกฟุตบอลเคยมีมาเลยทีเดียว สิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำซีเนดีน ซีดานในฐานะตำนาน ซีเนดีน ซีดาน เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ครบเครื่องที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทักษะของเขาเวลาเล่นกับลูกบอลนั้นมันช่างมหัศจรรย์อย่างมาก บอลคอนโทรลของเขาก็น่าเหลือเชื่อ มันเหมือนกับว่าลูกฟุตบอลกับเขาเข้าใจกันและกันราวกับเพื่อนซี้ มีหลายครั้งที่แฟนบอลต้องอ้าปากค้างกับเพียงแค่จังหวะเอาบอลลงพื้นของเขา และสำหรับหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของเขาอย่างการสร้างสรรค์เกมรุกนั้น เขาก็ทำมันออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นการผ่านบอลสั้นหรือยาว การล่อหลอกให้เกมรับเสียทรงก่อนที่จะจ่ายบอลสวย ๆ ให้กับเพื่อนร่วมทีม และนอกจากในด้านการจ่ายบอลแล้ว การยิงของเขาก็อยู่ในระดับที่กองหน้าหลาย ๆ คนอาย เพราะเขายิงได้ทั้งซ้ายและขวา ในกรอบและนอกกรอบ ลูกนิ่งอย่างฟรีคิกหรือลูกที่ลอยอยู่บนอากาศก็ไม่เกี่ยงทั้งเท้าทั้งหัว บอกได้คำเดียวว่า “เพอร์เฟ็กต์” ตั้งแต่ปลายเท้ายันปลายผมเลยก็ว่าได้ ถ้าใครที่ไม่เคยเห็นการเล่นของเขาคงจะหาว่าพูดเกินจริงก็เป็นได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น และทุกสิ่งที่เขาทำเขาทำมันโดยที่เขาไม่ได้มีความรวดเร็วเท่าเมสซี่ หรือมีร่างกายมหัศจรรย์เหมือนโรนัลโด้ แต่ที่เขาทำแบบนั้นได้ มันมาจากทักษะที่ยอดเยี่ยมในการคอนโทรลบอล บวกกับความฉลาดในการเล่นกับจุดอับของคู่ต่อสู้ นั่นทำให้แทบจะไม่มีใครหยุดเขาได้ในสนาม เส้นทางสู่ตำนานของซีเนดีน ซีดาน ด้วยความที่เป็นสุดยอดผู้เล่นของโลก นั่นทำให้ซีเนดีน ซีดาน…
พอล สโคลส์ ผู้เป็นสุดยอดกองกลาง ในสายตาเหล่าสุดยอดกองกลาง
ครั้งหนึ่งมีนักข่าวถามซีเนดีน ซีดานว่ารู้สึกยังไงกับการเป็นกองกลางที่ดีที่สุดในโลก เขากลับตอบนักข่าวไปว่า “ผมไม่รู้หรอก คุณต้องไปถามพอล สโคลส์เอาเอง” เมื่อกล่าวถึง “พอล สโคลส์” มักจะได้ยินผู้คนกล่าวถึงในลักษณะคำชื่นชมเสมอ จนทำให้ใครหลายคนบอกว่าเขาถูกอวยเกินกว่าสิ่งที่เขาเป็น แต่สำหรับเหล่ายอดกองกลางระดับโลกร่วมยุคเดียวกันกับเขา ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือกองกลางที่ดีที่สุดที่เคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นซีดาน, ดาวิดส์, โรนัลดินโญ่ หรือแม้แต่คู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างยาวนานอย่างปาทริค วิเอร่าของไอ้ปืนโต โดยเฉพาะบรรดากองกลางเวิร์ลด์คลาสจากรั้ว ลามาเซียยิ่งแล้วไปใหญ่ เพราะถึงแม้ว่านักข่าวจะเอาเขาไปเปรียบว่าเป็น อันเดรส อิเนียสต้าแห่งเกาะอังกฤษ แต่ในทางกลับกันทั้งซาบี้, อิเนียสต้าหรือแม้กระทั่งลีโอเนล เมสซี่ ยังยกย่องว่าเขานี่แหละคือกองกลางที่นักเตะในลามาเซียใช้เป็นต้นแบบในการเล่น ไม่ว่าใครจะมองและมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับชายผู้นี้ สำหรับแฟนบอลปีศาจแดงแล้วเขาคือกองกลางผู้สร้างประวัติศาสตร์สโมสรในระดับที่สามารถเรียกว่าเป็นตำนานได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ซึ่งนอกจากฝีเท้าและผลงานในสนามแล้ว เขายังมีความจงรักภักดีต่อสโมสรเพียงแห่งเดียว คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั่นเอง จุดเริ่มต้นของเด็กชายตัวเล็กที่ชื่อพอล สโคลส์ พอล สโคลส์ เข้ามาสู่ความเป็นปีศาจแดงด้วยการเข้าร่วมทดสอบฝีเท้าตั้งแต่อายุเพียงแค่ 13 ปี ซึ่งเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยอมรับเองเลยว่า ครั้งแรกที่เห็นเด็กคนนั้นเขายังคิดเลยว่าเจ้าหนูสโคลส์ตัวเล็กเกินกว่าที่จะเล่นฟุตบอลได้ แต่ทันทีที่เขาได้ลงไปเล่นกับลูกบอลในสนามความคิดเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป และชื่อของเด็กคนนั้นก็ได้ผ่านการทดสอบเข้าสู่ศุนย์ฝึกเยาวชนของทีม เขาใช้เวลาในศูนย์ฝึกเยาวชนของปีศาจแดงหกปีด้วยกัน ก่อนที่จะถูกผลักดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในวัย 19 ปี พร้อมเพื่อนร่วมรุ่น “คลาส ออฟ 92” ที่โด่งดังของยูไนเต็ด และนับจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็กลายเป็นหัวใจในผงมิดฟิลด์ผีแดง ในยุครุ่งเรืองของท่านเจ้าพระยาเฟอร์กูสันตลอดมา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนที่ได้รับมอบหมายเขาก็ทำให้นายใหญ่พอใจได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคู่มิดฟิลด์ตัวกลางกับกัปตันพันธุ์โหดอย่าง “รอย…
โธมัส ปาร์เตย์ ว่ากันว่า เขานี่แหละคือวิเอร่าคนต่อไป
ก่อนที่ตลาดนักเตะจะปิดลงไปไม่นานทางสโมสรไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซน่อลได้ทำเรื่องบิ๊กเซอร์ไพรส์ให้เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลอย่างมาก มากชนิดที่ว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเซอร์ไพรส์แฟนบอลทั่วโลกเท่านั้น แม้แต่ตัวผู้จัดการทีมตราหมี แอตเลติโก มาดริด อย่างดีเอโก ซิเมโอเน่ เองก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกที่อยู่ ๆ เขาก็เสียกองกลางคนสำคัญของทีมไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เล่นเอากุนซือชาวอาร์เจนติน่าหัวร้อนเลยทีเดียว เรื่องเซอร์ไพรส์ที่ว่าก็คือการที่อาร์เซน่อลแอบย่องเงียบไปจ่ายเงินค่าฉีกสัญญาของกองกลางชาวกาน่า อย่างโธมัส ปาร์เตย์แบบไม่มีการขอต่อรองราคาใด ๆ ให้เป็นข่าวเลยนั่นเอง ซึ่งค่าตัวของปาร์เตย์ที่ทางปืนโตยอมจ่ายนั้นก็สูงถึงราว 50 ล้านยูโรเลยทีเดียว และการที่บอร์ดจอมงกของอาร์เซน่อลยอมจ่ายเงินสูงขนาดนี้โดยไม่เกี่ยงงอนหรือต่อรองใด ๆ นั้นมันย่อมเป็นการการันตีได้ว่านักเตะคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โธมัส ปาร์เตย์นั้นเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลบนแผ่นดินยุโรปในศูนย์ฝึกเยาวชนของทีมตราหมีเลย หลังจากที่เขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศบ้านเกิดในวัย 19 ปี และเขาก็ฉายแววดีมาตั้งแต่ก้าวเข้ามาอยู่กับทีมเพียงแต่ว่าการที่เขายังไม่สามารถก้าวขึ้นมาชุดใหญ่ได้นั้นเป็นเพราะว่า ในขณะนั้นทีมตราหมีมีกองกลางรุ่นพี่ฝีเท้าดีขวางอยู่เต็มไปหมด ทำให้เขาต้องหาประสบการณ์การลงสนามด้วยวิธีปล่อยให้มายอร์ก้าและอัลเมเรียยืมตัวไปใช้งานทีมละหนึ่งฤดูกาล ซึ่งผลงานในการเล่นกับทีมยืมตัวมันก็แสดงให้เห็นว่าเขามีดีพอที่จะกลับมาเป็นทีมชุดใหญ่ของแอตเลติโก มาดริด หลังจากกลับมาอยู่กับต้นสังกัดเขาก็ได้รับโอกาสลงสนามมากพอสมควร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนได้เสียที ถูกโยกไปเล่นตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้บ้างบนแผงมิดฟิลด์ จนกระทั่งทีมได้เสียโรดรี้กองกลางตัวรับคนสำคัญไปให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในปี 2019 ที่ผ่านมา ทำให้เขาถูกขยับลงไปเล่นกลางรับแทนและทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญของทีมตราหมีในฤดูกาลที่ผ่านมา และฉายแววโดดเด่นจนเข้าตามิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลในที่สุด หลังจากที่เขาได้ลงสนามให้กับทีมใหม่ได้ไม่นานก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับคำชื่นชมอย่างมาก โดยเฉพาะมีการยกเขาขึ้นไปเปรียบเทียบกับปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมระดับตำนานของเดอะ กันเนอร์สเลยทีเดียว ซึ่งหากมองจากคุณสมบัติที่ตัวเขามีก็นับว่าน่าจะไม่ใช่การกล่าวชมเกินจริงนัก เริ่มจากการที่เขามีร่างกายที่แข่งแกร่งกับความสูงถึง 185 ทำให้เขาได้เปรียบคู่แข่งอย่างมากในเวลาที่ต้องเข้าปะทะ แถมยังมีการอ่านเกมและเข้าปะทะที่ฉลาดอีกด้วย และถึงแม้จะเป็นผู้เล่นตัวรับแต่การครองบอลและคุมเกมในแดนกลางของเขา รวมไปถึงการจ่ายบอลอย่างแม่นยำทั้งบอลสั้นและบอลยาวยังช่วยทีมให้ได้เปรียบในการเล่นเกมรุกอีกด้วย ตอนนี้โธมัส ปาร์เตย์นั้นมีอายุ 27 ปี…
อาการบาดเจ็บของเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปัญหาใหญ่ในการป้องกันแชมป์ของหงส์แดง
ในโลกของฟุตบอลว่าด้วยเรื่องของการเป็นแชมป์แล้วเรามักจะได้ยินคำพูดสุดคลาสสิกอยู่สองอย่างคือ “การเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่การป้องกันแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า” ส่วนอีกประโยคหนึ่งก็คือ “เกมรุกที่ดีจะทำให้คุณเป็นผู้ชนะ แต่เกมรับที่ดีจะทำให้คุณเป็นแชมป์” ดังนั้นเมื่อนำสองประโยคนี้มารวมกันมันจึงทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่หนักหนามากเพียงใดสำหรับภารกิจป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกของหงส์แดง ลิเวอร์พูล เมื่อเสียเสาหลักในเกมรับอย่างเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ไป และที่สำคัญอาจจะเสียเขาไปตลอดฤดูกาลเลยก็ได้ แม้แต่เหล่านักพนันตัวยงยังหวั่นใจ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กองหลังตัวแกร่งชาวดัตช์นั้นได้รับอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าฉีกขาด หลังจากปะทะอย่างรุนแรงกับจอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูของเอฟเวอร์ตัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์นัดล่าสุด ซึ่งผลการแข่งขันทั้งสองทีมเสมอกันไป 2-2 แบบที่นักพนันทั่วโลกต่างเจ็บใจที่สุด เพราะนอกจากจะเสียผู้เล่นคนสำคัญอย่างฟาน ไดค์แล้ว พวกเขายังโดนวีเออาร์ปฏิเสธประตูชัยจากการที่แขนเสื้อของมาเน่ล้ำหน้าไปอีกด้วย หลังได้รับการตรวจอย่างละเอียดหลังเกม เป็นที่ยืนยันแล้วว่าอาการของฟาน ไดค์นั้นต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดซึ่งผลที่จะตามมาก็คือเขาจะไม่สามารถลงสนามให้ลิเวอร์พูลราว 7 เดือนหรืออาจจะยาวไปถึงปิดฤดูกาลเลยทีเดียว และมันก็เสียหายมากกว่าเพียงแค่การถูกปฏิเสธประตูชัยของพวกเขาแน่ เพราะการไม่มีกองหลังอย่างเขาคอยคุมแนวรับนั้นมันมีผลทั้งในด้านรูปเกมของหงส์แดง รวมไปถึงเรื่องของสภาพจิตใจอีกด้วย เพราะแน่นอนว่าการมีกองหลังที่เชื่อใจได้อย่างเขาอยู่มันทำให้แผงเกมรุกที่ดุดันของลูกทีมเจอร์เกน คล็อปป์สามารถบุกตะลุยไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลังไม่ต้องคอยห่วงเกมรับนั่นเอง แต่หลังจากนี้มันจะอ่อนลงไปอย่างมากและทำให้พวกเขาต้องระวังเกมสวนกลับของคู่ต่อสู้มากขึ้นตามไปด้วยแน่นอน เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ นั้นไม่ใช่กองหลังทั่ว ๆ ไปที่จะหาใครมาแทนเขาได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเมื่อดูจากตัวเลขสถิติการดวลกับกองหน้าคู่แข่งของเขาที่ไม่ว่าจะเป็นลูกกลางอากาศอันเป็นจุดเด่นหรือการปะทะบนภาคพื้นดิน เขามีเปอร์เซ็นต์ชนะสูงเกือบ 75 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ดังนั้นการเสียเขาไปครั้งนี้มันย่อมสร้างช่องโหว่ขนาดใหญ่ให้กับทีมของเจอร์เกน คล็อปป์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมช่วงเวลาการบาดเจ็บก็ดันเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลที่ตลาดนักเตะพึ่งจะปิดไปหมาด ๆ อีกด้วยทำให้จะหาตัวแทนเขาในเวลานี้เป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก ยังไงแฟนหงส์แดงและเซียนพนันทั้งหลาย คงจะต้องหวังพึ่งแท็กติกของยอดกุนซืออย่างคล็อปป์ในการที่จะใช้ผู้เล่นคนอื่นประคองเกมรับในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ จนกว่าตลาดจะเปิดอีกครั้งหรือจนกว่าเฟอร์จิล ฟาน ไดค์…
ฟรานเชสโก้ ต็อตติ แม่ทัพผู้ภักดีแห่งกรุงโรม
ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของนักฟุตบอลคนหนึ่งคืออะไร ถ้าถามนักเตะหลายคน อาจจะมีหลายคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์รายการต่าง ๆ มากมาย รายได้ที่มหาศาล สิ่งเหล่านี้คงเป็นสิ่งที่นักเตะส่วนใหญ่คาดหวังจะได้พบ ในเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่สำหรับชายคนหนึ่ง ที่เขามีความสามารถมากพอที่สิ่งเหล่านั้นจะวิ่งเข้ามาหา แต่เขากับเลือกที่จะปฏิเสธมัน เพราะสิ่งที่เขาตั้งเป้าไว้เป็นความสำเร็จของตัวเอง ในเส้นทางการค้าแข้งของเขาก็คือ การได้เล่นให้กับทีมที่เขารักเพียงทีมเดียวตลอด 25 ปี มันจึงไม่แปลกเลยเมื่อเห็นหน้าเขา จะทำให้เรานึกถึงโรม่า และเมื่อเราได้ยินชื่อทีมโรม่า เราก็จะคิดถึงชื่อเขาฟรานเชสโก้ ต็อตติ ด้วยเช่นกัน ฟรานเชสโก้ ต็อตติเป็นชาวโรมันโดยกำเนิด เขาเกิดและโตในย่านปอร์ตาเมโตรเนีย ในกรุงโรม และแน่นอนทีมที่เขาและครอบครัวเชียร์ก็คือโรม่า นั่นเอง เรียกได้ว่าตั้งแต่จำความได้และได้รู้จักกับฟุตบอล ทีมเดียวที่เขาให้ความสนใจก็คือโรม่า เขาชื่นชอบและหลงใหลในกีฬาฟุตบอลและเริ่มเล่นตั้งแต่อายุ 4 ขวบ โดยไอดอลของเขาในสมัยนั้นก็คือ จูเซปเป้ จิอันนินีชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าชายหมาป่าแห่งกรุงโรม เช่นเดียวกับที่เขาถูกยกย่องให้เป็นแบบนั้นเช่นกันในภายหลัง ต็อตติคือผู้เล่นที่มีความสามารถในทางลูกหนังสูงที่สุดคนหนึ่ง ในยุคสมัยที่เขาเล่นอยู่ ทั้งเทคนิคที่แพรวพราว การเปิดบอลที่แม่นยำ การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยมทั้งยังสามารถเล่นลูกตั้งเตะได้ดีอีกด้วย ด้วยความสามารถที่เขามี มันไม่ใช่เรื่องยากเลยหากเขาอยากจะประสบความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอล สโมสรใหญ่ต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศต่างอยากได้เขาไปร่วมทีม อย่างเรอัล มาดริด ที่ยื่นข้อเสนอมูลค่าสูงลิบ พร้อมโอกาสที่จะคว้าแชมป์มากมายรออยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้น เพื่อที่จะเล่นให้ทีมรัก แม้ว่าโรม่า จะไม่ได้มีศักยภาพพาเขาไปอยู่ในตำแหน่งแชมป์ได้อย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยตลอดระยะเวลา 25 ปี ที่เขาเล่นให้โรม่า…