หลังการตกลงสัญญาย้ายร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยสัญญายืมตัว เขาได้บอกผู้คนว่าที่นี่คือทีมในฝัน ที่เขานั่งดูผ่านหน้าจอถ่ายทอดสดเสมอที่ไนจีเรียบ้านเกิด ทีมฟุตบอลทีมนี้คือแรงบันดาลใจให้เขาในเส้นทางสายลูกหนัง ดังนั้นแม้จะเป็นแค่สัญญายืมตัว ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่มันคือการเซ็นสัญญาในฝันของเขาเลยทีเดียว และหลังจากผ่านเวลามาเพียงแค่ไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าความฝันของเขาครั้งนี้จะเป็นฝันดีมากกว่าฝันร้ายซะด้วย นับตั้งแต่ย้ายมาจากไชนีส ซูเปอร์ ลีกของจีน หวนกลับคืนสู่เวทีพรีเมียร์ ลีก อังกฤษอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเคยค้าแข้งอยู่กับทีมแตนอาละวาด วัตฟอร์ดครั้งหนึ่งแล้ว มันจึงดูเหมือนว่าอิกาโล่ไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวกับทีมปีศาจแดงมากนัก ถึงแม้ว่าจะต้องเริ่มต้นด้วยการรอคอยโอกาสอยู่ข้างสนามก่อน แต่เมื่อเขาได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่องเขาก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ที่คอยเชียร์ผิดหวัง นับจากวันที่ย้ายมาสู่โรงละครแห่งความฝันของเขา เขาได้โอกาสลงสนามไปแล้ว 8 นัดด้วยกัน และสามารถทำประตูได้ถึง 4 ประตู เขาใช้ความสามารถสร้างผลงานในสนามจนกลบเสียงวิจารณ์ของผู้คนรอบด้าน รวมถึงล้างข้อกังขาของเหล่าเซียนพนันที่ออกมาตั้งข้อสงสัยในการดึงตัวเขาเข้ามาเสริมทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ซึ่งในตอนนั้นหลายเสียงวิจารณ์ดีลนี้กันอย่างมาก ว่าแมนยูล้มเหลวในการซื้อตัวกองหน้าดาวดัง เลยมาเลือกอิกาโล่บ้างล่ะ ฝีเท้าเขาไม่ได้อยู่ในระดับสูงพอจะฝากความหวังได้บ้างล่ะ แต่วันนี้เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เสียงวิจารณ์เหล่านั้นแหละผิด ผิดที่ตัดสินเข้าเร็วเกินไป ผิดที่ตัดสินเขาก่อนที่จะได้เห็นการเล่นที่แท้จริงของเขา จนวันนี้กระแสข่าวเกี่ยวกับเขามันได้เปลี่ยนไป เป็นเรื่องของการดึงตัวเขาร่วมทีมถาวร หลังสัญญายืมตัวสิ้นสุดลง นั่นเท่ากับว่าเขาสอบผ่านบททดสอบแรกได้แล้ว การดึงตัวโอเดียน อิกาโล่มาร่วมทีมถาวรนั้นมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้สูงทีเดียว เพราะทางเซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัวได้ตั้งค่าตัวของเขาไว้ราว ๆ 15 ล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้สูงมากสำหรับค่าตัวนักเตะในยุคปัจจุบัน ถึงแม้ว่าอายุของเขากำลังจะเข้าสู่วัย 31 ปีในอีกไม่กี่เดือน และตัวนักเตะเองก็พร้อมจะหั่นค่าเหนื่อยครึ่งหนึ่งเพื่อโอกาสในการย้ายสู่ทีมในฝันอีกด้วย…
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ว่าที่กัปตันชุดประวัติศาสตร์ของหงส์แดง
สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษฤดูกาล 2019-2020 นี้ ที่กำลังประสบปัญหาเรื่องไวรัส โควิด-19 เล่นงานจนต้องหยุดพักไป และยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อ มีทั้งกระแสให้จบไปเลยโดยให้โดยยกถ้วยให้กับทีมที่นำจ่าฝูงอยู่ อย่างลิเวอร์พูลไปเลย หรือกลับมาแข่งต่อหลักเรื่องราวไวรัสคลี่คลายไปได้ แต่ไม่ว่าจะทางไหน ตำแหน่งแชมป์ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนมืออย่างแน่นอน เพราะลิเวอร์พูลต้องการอีกเพียงแค่ 6 แต้มเท่านั้นจากโปรแกรม 10 นัดที่เหลือ นั่นเท่ากับว่าช่วงเวลาอันยาวนานแห่งการรอคอยแชมป์ลีกของพลพรรคหงส์แดงกำลังจะสิ้นสุดลง และชายผู้ที่จะนำทีมขึ้นรับถ้วยประวัติศาสตร์ใบนี้ คือกัปตันเฮนโด้ จอร์แดน เฮนเดอร์สันนั่นเอง แต่กว่าที่เขาจะมายืนในจุดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จอร์แดน เฮนเดอร์สันเริ่มต้นเส้นทางการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขา ในอคาเดมี่ของทีมซันเดอร์แลนด์ ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในปี 2011 ด้วยค่าตัวสูงถึง 20 ล้านปอนด์ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่ามันเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไป สำหรับฝีเท้าอย่างเขา และการเข้ามาเป็นเพียงแค่อะไหล่ของกัปตันทีมในช่วงนั้นอย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ด และสไตล์การเล่นของเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นเลยด้วยซ้ำ ไม่มีการจ่ายบอลที่แม่นยำ ไม่มีลูกคิลเลอร์พาส หรือการยิงไกลได้เป็นกอบเป็นกำแบบที่เจอร์ราร์ดมี ทำให้เสียงดูถูกดูแคลนในตัวเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัปตันสตีวี่ถึงเวลาต้องอำลาทีมไป แล้วเขาต้องรับช่วงต่อปลอกแขนจากเจอร์ราร์ด ความกดดันและเสียงวิจารณ์ในตัวเขายิ่งมากขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่เขาทำไม่ใช่การยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่การออกมาแสดงความน้อยใจ ไม่ใช่การออกมาทะเลาะกับผู้คนที่วิจารณ์เขาให้แฟน ๆ เกลียด แต่สิ่งที่เขาทำคือการก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อม พัฒนาตัวเอง และใส่ความทุ่มเทเต็มร้อยทุกครั้งที่ได้ลงสนาม จนตอนนี้ทุกคนต่างยอมรับในตัวเขา รวมทั้งในทีมชุดปัจจุบัน เกมอันดุดันของลิเวอร์พูลก็ขาดเขาไปไม่ได้แล้วเช่นกัน ลิเวอร์พูลรอถ้วยแชมป์ลีกภายในประเทศ ถ้านับรวมฤดูกาลนี้แล้วก็…
เอล ฟีโนมีโน่ โรนัลโด้ กองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
ถ้าคุณเห็นภาพของเขาในปัจจุบัน คุณจะเห็นโรนัลโด้ในสภาพของชายที่อ้วนกลมคนหนึ่งเท่านั้น จะไม่สามารถคิดไปถึงลีลาในสนามหญ้าของเขา ที่เคยโลดแล่นอย่างพลิ้วไหว ผ่านผู้เล่นฝั่งตรงข้ามคนแล้วคนเล่าและส่งลูกบอลไปกองกลับก้นตาข่าย ความสามารถของเขาอยู่ในระดับที่ทุกคนยอมรับว่าดีที่สุดในโลก ไม่มีใครสามารถทำได้อย่างเขาอีกแล้ว จนเขาได้ฉายาว่า เอล ฟีโนมีโน่ หรือชายผู้เป็นปรากฏการณ์ที่นาน ๆ เค้าจะส่งลงมาเกิดบนโลกซักคนหนึ่ง โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิม่า คือชื่อที่ของเขา ชื่อของชายที่แฟนบอลฝั่งตรงข้ามยังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดูการเล่นของเขา ถึงแม้ว่าจะกลัวทีมของตัวเองพ่ายแพ้ก็ตาม เทคนิคของเขาแพรวพราว ดูลื่นไหลเพลินตาที่สุด การสับขาหลอกที่ยากจะคาดเดา จบสกอร์ได้ดีทุกรูปแบบและทำได้อย่างคมกริบทั้งสองเท้า อีกทั้งเขายังสามารถหาจังหวะจบสกอร์ได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาเห็นช่องว่างที่กองหลังปล่อยให้ เขาสามารถลงโทษความผิดพลาดนั้นทันที ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องเป็นเรื่องปวดหัวของกองหลังทุกคนบนโลก ในการไล่ประกบเขา แม้จะเป็นตำนานกองหลังที่เคยไปถึงแชมป์โลกมาแล้วอย่าง คันนาวาโร่ มัลดินี่ และเนสต้าของอิตาลี หรือกองหลังชุดแชมป์โลกของฝรั่งเศสอย่างเดอไซล์ยี่และตูราม ที่ต่างเข็ดขยาดกับการสับขาหลอกของโรนัลโด้ แต่พวกเขามักจะพูดถึงโรนัลโด้ ในลักษณะชื่นชมในความมหัศจรรย์ ของเขาถึงแม้จะโดนเขาฉีกกระชากเป็นริ้ว ๆ ก็ไม่มีใครกล่าวถึงเขาด้วยความเกลียดชังเลย รางวัลการันตีความสามารถบนโลกลูกหนังของเขามีมากมายหลายใบ เขาผ่านการเล่นกับหลายสโมสรทั้งครูไซโร่ในลีกบ้านเกิด พีเอสวี ไอน์โฮเฟน ในฮอลแลนด์ บาร์เซโลน่า และมาดริดในสเปน และอินเตอร์ มิลานกับเอซี มิลาน ในอิตาลี เขามีถ้วยรางวัลกับทุกประเทศที่เขาไปอยู่ด้วย ลงสนามทั้งหมดกับทุกทีม 518 นัด กดไป 352 ประตู ส่วนกับทีมชาติโรนัลโด้…
เฟร็ด เมดอินบราซิล ไม่ใช่เซินเจิ้น
เขาเกิดและเติบโตมาบนแผ่นดิน ที่ได้รับการยกย่องว่าคือดินแดนแห่งฟุตบอล อย่างประเทศบราซิล ผ่านการสัมผัสแชมป์ในลีกในประเทศ กับทีมในบ้านเกิดอย่างอินเตอร์นาซิยงนาล ตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนย้ายมาเล่นในยุโรป ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค และเขาก็สามารถสอบผ่านมาตรฐานฟุตบอลกับสโมสรใหม่ของเขาได้อย่างง่ายดาย ยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้ ลงเล่นไปถึง 155 นัด พาทีมกวาดแชมป์ลีกมาถึง 3 ใบ ฟุตบอลถ้วยในประเทศอีก 3 ใบ และยูเครนซูเปอร์คัพ อีก 4 ใบ และสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของการย้ายมาเล่นในลีกใหญ่อย่างพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เป็นที่มาของการย้ายสู่ทีมใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และมันเป็นที่มาของค่าตัวมหาศาลถึง 52 ล้านปอนด์ของเจ้าตัว เฟร็ด ย้ายจากยูเครนเข้ามาอยู่กับทัพผีแดงในปี 2018 ในยุคที่อยู่ในการทำทีมของโชเช่ มูรินโญ่ ซึ่งภายหลังมูรินโญ่ก็ได้ออกมาเผยว่าเขาไม่ได้ต้องการดึงเฟร็ดมาร่วมทีม แต่เป็นทางเอ็ด วูดเวิร์ดจัดมาให้เองต่างหาก นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมฟอร์มของเขาจึงออกมาแย่แบบนั้นในช่วงที่ย้ายมาแรก ๆ ด้วยค่าตัวระดับ 52 ล้านปอนด์ แฟน ๆ ต่างคาดหวังในตัวเขาอย่างมากที่จะเข้ามายกระดับมาตรฐานให้กับแผงกองกลางของทีม แต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง เพราะเฟร็ดที่กำลังต้องการเวลาในการปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ ลีกใหม่ซึ่งมีมาตรฐานการเล่นสูงกว่าที่ที่เขาจากมา ไม่สามารถตอบโจทย์ที่แฟนบอลต้องการได้ทันที ทำให้ช่วงนั้นเขาโชว์ฟอร์มไม่ออกเลย เลี้ยงก็ไม่ได้ ตัดบอลไม่ได้ จ่ายบอลก็ไม่ได้ ทำให้เกิดกระแสในด้านลบต่อตัวเขามาก ว่าแมนยูซื้อกองกลางคนนี้ด้วยค่าตัวที่แพงเกินจริง หรือเขาไม่เหมาะที่จะซื้อมาร่วมทีมเลยด้วยซ้ำ ถึงกับมีการดูถูกว่าเขาไม่ใช่กองกลางบราซิลของแท้…
วินิซิอุส จูเนียร์ ดาวรุ่งพรสวรรค์สูง กับความหวังอันยิ่งใหญ่
การจากไปของดาวเตะจอมถล่มประตูอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ แน่นอนว่ามันย่อมจะทิ้งช่องว่างขนาดมหึมาไว้เบื้องหลัง เพราะการจะหาใครซักคนหนึ่งที่จะเข้ามาแทนที่ซูเปอร์สตาร์ระดับเขามันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ท่ามกลางความคาดหวัง แฟน ๆ ทุกคนต่างตั้งตารอการเปิดตัวผู้เล่นคนใหม่ คนที่จะเข้ามาทดแทนการจากไปของโรนัลโด้ ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะเห็นการเซ็นสัญญาซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพง ฝีเท้าและชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกซักคนหนึ่ง แต่ทว่าสโมสรราชันชุดขาวกลับทำการเปิดตัวผู้เล่นดาวรุ่งจากบราซิลคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ไม่น้อยเลยทีเดียว วินิซิอุส โฮเซ่ ไพเซา เดอ โอลิเวียร่า จูเนียร์ หรือ “วินิซิอุส จูเนียร์” คือชื่อของดาวรุ่งชาวบราซิลคนนั้น ทีมราชันชุดขาวกระชากตัวเขามาจากทีมฟลาเมงโก้ในฟุตบอลลีกบราซิล ในขณะที่เจ้าหนูคนนี้มีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น แถมค่าตัวของเด็กคนนี้สูงถึง 45 ล้านยูโร หรือราว 1,700 ล้านบาทเลยทีเดียว แถมประเคนค่าเหนื่อยให้ถึง 7.75 ล้านยูโรต่อปีอีกต่างหาก แสดงว่าเจ้าหนูคนนี้ย่อมจะไม่ธรรมดา ทีมอย่างราชันชุดขาวจึงได้ทำการทุ่มสุดตัวขนาดนี้ เพื่อปาดหน้าทีมอื่น ๆ ที่จ้องเด็กคนนี้ตาเป็นมันเช่นกัน โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญอย่างบาร์เซโลน่าเอง ก็หวังจะดึงตัวเขาไปร่วมทีมเช่นกัน วินิซิอุส จูเนียร์ เล่นได้ทั้งตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และกองหน้าตัวริมเส้น เข้าแจ้งเกิดในลีกบราซิลตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 17 ปีเลยด้วยซ้ำ ด้วยวัยละอ่อนขนาดนั้นเขายึดตำแหน่งในทีมฟลาเมงโก้ได้ ลงสนามไปถึง 69 นัด ยิงไป 14 ประตู…
ผิวของผมเป็นสีแดง-ดำ อิล กาปีตาโน่ เปาโล มัลดินี
ตลอดชีวิตนักฟุตบอลของชายผู้นี้ มันมีไว้เพื่อสลัดคราบจากลูกชายตำนานสู่ความเป็นตำนาน มันมีไว้เพื่อฟุตบอลที่เขารัก แฟนบอลที่เขารัก ประเทศที่เขารัก และสโมสรแห่งเดียวในดวงใจที่เขารัก คือปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน เขาใช้เวลาอยู่กับสโมสรแห่งนี้แห่งเดียวตลอดชีวิตนักฟุตบอลของเขา ลงเล่นให้เพียงทีมเดียวตลอด 25 ปี และหากนับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชนของทีมแล้ว มันเป็นเวลายาวนานถึง 31 ปีเลยที่เดียว จนเจ้าตัวเองได้กล่าวว่า สีเสื้อแดง-ดำ ของเอซี มิลาน คือส่วนหนึ่งของสีผิวของเขาไปแล้ว และเขาคือตำนานที่ยากจะหาใครยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว เขาคือท่านผู้นำแห่งสโมสรปีศาจแดง-ดำ เอซีมีลาน อิล กาปีตาโน่ เปาโล มัลดินี เปาโล มัลดินีเริ่มต้นอาชีพฟุตบอลในศูนย์ฝึกเยาวชนของเอซี มิลาน ก่อนจะได้รับโอกาสการลงสนามครั้งแรกให้กับทีม ในวัยเพียง 16 ปี เท่านั้น เมื่อปี 1984 เขาดีใจอย่างมาก และมั่นใจว่าตัวเองทำผลงานได้ดีมากในเกมนั้น และในวันต่อมาทัพนักข่าวมาดักรอสัมภาษณ์เขา แต่เขากลับพบแต่เพียงคำถามประเภทที่ว่า รู้สึกยังไงกับการเป็นลูกชายของผู้เล่นระดับตำนาน ด้วยความที่พ่อเขาคือผู้เล่นระดับตำนานของสโมสร เซซาเร่ มัลดินี คือผู้เล่นที่คว้าสคูเดตโต้กับมิลานได้ถึง 3 สมัย และการเกิดมาเป็นลูกของตำนานมันมีทั้งด้านดีและไม่ดี เพราะถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว แต่ก็อยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้เป็นพ่อนั่นเอง แต่นั่นก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขามุ่งมั่นที่จะสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเอง ให้ยิ่งใหญ่ให้ได้เหมือนที่พ่อของเขาเคยทำ แต่จะมีใครเชื่อว่าเขาทำได้ดีกว่านั้นซะอีกในเวลาต่อมา เปาโล มัลดินี เริ่มยึดตำแหน่งตัวหลักในแผงหลังให้กับปีศาจแดงดำตั้งแต่อายุเพียง 17…
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เด็กหนุ่มแห่งความภาคภูมิใจของชาวเมืองลิเวอร์พูล
ถ้าจะพูดถึงผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คขวาที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในช่วงนี้ หนึ่งในชื่อที่อยู่ในลำดับต้น ๆ คงหนีไม่พ้นชื่อของเจ้าหนูเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เด็กปั้นจากอคาเดมี่ของทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลอย่างแน่นอน ด้วยผลงานการพิสูจน์ฝีเท้าในสนามของเขา ด้วยความที่เขาอายุยังน้อย และที่สำคัญคือเขาคือเด็กที่เกิดและเติบโตมาในเมืองลิเวอร์พูล ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจคนใหม่แห่งถิ่นแอนฟิลด์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1998 ในย่านเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล เขาเติบโตขึ้นมากับความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลเช่นเดียวกับเด็ก ๆ ในละแวกบ้าน ทุก ๆ วันสิ่งที่เขาทำคือการเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนานและใฝ่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ตามประสาเด็กที่เติบโตมาในดินแดนแห่งฟุตบอล เขาได้เข้าร่วมโครงการปั้นเยาวชนของลิเวอร์พูลตั้งแต่อายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น และที่ศูนย์ฝึกเยาวชนนี้ เขาใช้เวลา 12 ปีในการฝึกฝนวิชาลูกหนัง และซึมซับความเป็นลิเวอร์พูลอย่างแท้จริงไว้จนเต็มเปี่ยม เขาโชว์ความสามารถอันโดเด่นกับทีมเยาวชน จนได้รับตำแหน่งกัปตันทีมทั้งในชุดอายุไม่เกิน 16 ปีและ 18 ปี ก่อนที่จะถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ในปี 2016 ภายใต้การคุมทีมของแบรนดัน ร็อดเจอร์ในวัยเพียง 18 ปี เขาใช้เวลา 4 ฤดูกาลที่ผ่านมาพัฒนาฝีเท้าตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชุดใหญ่ได้อย่างเหนียวแน่น จนตอนนี้ที่เขามีอายุเพียง 21 ปี เขาลงเล่นให้ลิเวอร์พูลไปแล้วถึง 125 นักทุกรายการเรียกได้ว่าเป็นกำลังหลักของทีมชุดลุ้นแชมป์ประวัติศาสตร์นี้เลยก็ว่าได้ เขาเป็นผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คที่ทำได้ดีทั้งในเกมรับ และการเติมเกมบุก โดยเฉพาะในเกมรุกนั้น…
เมสัน เมาท์ ดาวรุ่งลูกหม้อขนานแท้ ของทัพสิงโตน้ำเงินคราม
ท่ามกลางสภาวะการโดนแบนจากตลาดนักเตะถึงสองตลาดของสโมสรสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ทำให้พวกเขาไม่สามารถซื้อผู้เล่นระดับโลกเข้ามาร่วมทีมได้ แต่ในวิกฤติกลับมีโอกาสแฝงอยู่ เมื่อมันกลายเป็นโอกาสให้สโมสรแห่งนี้ ที่ไม่ค่อยจะให้โอกาสดาวรุ่งเท่าไรนัก ได้ผลักดันดาวรุ่งเด็กปั้นในทีมขึ้นมาใช้งานพร้อม ๆ กันหลายคน และคนที่โดดเด่นเป็นสง่าที่สุด และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับทีมได้อย่างเต็มภาคภูมิ คือเด็กหนุ่มจากพอร์ทสมัธ วัย 21 ปี ผู้มีนามว่า “เมสัน เมาท์” เมสัน โทนี่ เมาท์ เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1999 ที่พอร์ทสมัธ ตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัดคือ กองกลางตัวรุก เมสันก้าวเข้ามาร่วมอคาเดมี่ของสิงโตน้ำเงินคราม ตั้งแต่มีอายุได้เพียง 6 ขวบเท่านั้น ท่ามกลางการทักท้วงของพ่อของเขาซึ่งเป็นเหมือนโค้ชฟุตบอลส่วนตัวของเขาเองด้วย อันเนื่องมาจากชื่อเสียงด้านลบของอคาเดมี่เชลซี ว่าด้วยเรื่องของการให้โอกาสเด็กจากทีมเยาวชนน้อยเหลือเกิน เพราะเจ้าของทีมอย่างเสี่ยหมี เน้นหนักไปทางการทุ่มเงินเพื่อดึงดาวดังมาร่วมทีมซะมากกว่า แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะมาพิสูจน์ตัวเองที่เชลซี หลังจากฝึกฝนฝีเท้ากับทีมเยาวชนนานถึง 12 ปี แต่ในทีมชุดใหญ่ยังมีผู้เล่นชื่อดังขวางทางอยู่ ในตำแหน่งตัวจริง ทำให้เจ้าหนูเมสันต้องออกไปหาประสบการณ์การลงสนามกับทีมอื่น และเขาถูกส่งไปหาประสบการณ์กับวิเทส ในลีกฮอลแลนด์ ซึ่งเมื่อเขาได้โอกาสเขาก็จัดการปล่อยของทันที 1 ปีที่เขาอยู่กับวิเทส เมสันลงเล่นไป 39 นัด กดไป 14 ประตู ในตำแหน่งที่ไม่ใช่กองหน้า ถึงกับได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของวิเทสเลย จากผลงานเกินอายุของเขากับวิเทส ทำให้ฤดูกาลต่อมา อดีตรุ่นพี่ที่เป็นฮีโร่ ในวัยเด็กของเขา…
รอย คีน ตำนานกัปตันปีศาจร้าย ผู้เกลียดความพ่ายแพ้อย่างที่สุด
ถ้าจะพูดถึงความสำเร็จของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันแล้วละก็ หนึ่งในผู้เล่นคีย์แมนของทีมที่จะนึกถึง จะต้องมีชื่อของเขาอยู่อย่างขาดไม่ได้ เพราะครั้งหนึ่งเขาคือกัปตันทีม เขาคือหัวใจของผู้เล่นทุกคนในทีม เขาคือผู้เล่นในดวงใจของแฟนผีทุกหมู่เหล่า เรียกได้ว่าในยุคของเขา เขาคือเจ้าลัทธิของเด็กผีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ารอย คีน จะไม่ใช่นักเตะประเภทที่ความสามารถเฉพาะตัวสูง เทคนิคแพรวพราว ไม่ได้มีความเร็วและพลิ้วไหว แต่เขาทดแทนสิ่งเหล่านั้น ด้วยการเล่นแน่นอน หนักหน่วง ขยัน และไม่ยอมใครหน้าไหนทั้งนั้น และเพียงแค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้เขา เข้าไปอยู่ในใจของแฟนบอลได้อย่างไม่ยากเย็น รอย คีนย้ายจากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ในปี 1993 ตอนที่ฟอเรสต์ตกชั้น ด้วยค่าตัว 3.75 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในช่วงเวลานั้นเลย นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็สถาปนาตัวเองเป็นผู้เล่นที่ทัพปีศาจแดงขาดไม่ได้ทันที ก่อนที่เขาจะได้รับสืบทอดปลอกแขนกัปตันต่อจากเอริค คันโตน่าในปี 1996-1997 หลังการประกาศเลิกเล่นของคิงก็องโต หลังจากนั้นเขาคือศูนย์กลางของทีม เขาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งเสมอในสนาม และเป็นตัวกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมชั้นเยี่ยมอย่างที่หาใครเลียนแบบยาก เหล่าเด็กหนุ่มในทีม ยอมสู้ถวายหัว ยอมพุ่งเอาหัวไปบวกกับแข้งของคู่ต่อสู้ซะยังดีกว่าโดนคีนอัดเอาในห้องแต่งตัว ทีมปีศาจแดงในยุคนั้นจึงเต็มไปด้วยพลัง ความกระหาย วิ่งไม่มีหมดตราบที่เสียงนกหวีดยังไม่ดัง และภาพที่เห็นจนชินตา จนเรียกได้ว่าคือเอกลักษณ์ของเขา คือการอัดใส่คู่ต่อสู้แบบไม่เกรงกลัว ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู่จะเป็นใคร เล็กหรือใหญ่กว่าแค่ไหน ถ้าคุณเห็นกัปตันทีมอื่น ๆ ห้ามปรามพวกเด็กหนุ่มเลือดร้อนในทีม แต่อย่าคาดหวังว่าจะเห็นสิ่งนั้นจากเขา เพราะแทนที่จะห้าม เขาอาจจะเป็นตัวเปิดเองซะมากกว่า แต่ก็นั่นแหละมันคือสิ่งที่เป็นกุญแจไปสู่ความยิ่งใหญ่ ของทีมในยุคนั้นเลยก็ว่าได้…
ฟอร์มสุดร้อนแรงของเอซี มิลาน และการกลับมาของ “พระเจ้า”
สำหรับการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ของศึกกัลโช่ ซีรี่อา อิตาลีนั้น สำหรับทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลานนั้นดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ให้เหล่าแฟน ๆ และเซียนพนันบอลทั่วโลก หลังจากมีข่าวร้ายว่ากองหน้าคนสำคัญของพวกเขาอย่าง ซลาตัน อิบราฮิมโมวิชนั้นถูกตรวจพบว่าเขาติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งถ้าหากว่ามันทำให้ซลาตันพักยาวมันย่อมจะกระทบต่อฟอร์มโดยรวมของมิลานอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าการกลับสู่ถิ่นซานซิโร่อีกครั้งของนักเตะที่แฟนบอลตั้งฉายาให้ว่า “พระเจ้า” ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้วนั้นมันได้พลิกโฉมของเอซี มิลานจากทีมที่ผลงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ กลับมาเป็นทีมที่อันตรายขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะผลงานในเกมรุกที่เมื่อเทียบจำนวนประตูที่ทีมทำได้ก่อนที่เขาจะเข้ามากับตอนที่มีเขา มันมากขึ้นกว่าเดิมเกือบสามเท่าตัวเลยทีเดียว แถมก่อนที่จะมีการตรวจพบเชื้อเขาก็กำลังเริ่มต้นได้สวยกับทีมเลยทีเดียว ซึ่งมันก็นับเป็นข่าวดีที่เขาสามารถสลัดโรคร้ายกลับมาลงสนามได้เร็ว และในช่วงที่เขาหายไปเพื่อนร่วมทีมก็ยังคงโชว์ฟอร์มดีได้อย่างต่อเนื่องเก็บชัยชนะได้ทั้งสองเกมลีกและสองเกมในบอลถ้วยยุโรปทำให้พวกเขาไม่เสียหายอะไรมาก และการกลับมาของซลาตันนั้นก็นับว่าถูกที่ถูกเวลาอย่างที่สุด เพราะเขาสามารถกลับมาได้ในเกมดาร์บี้แมทช์กับอินเตอร์ มิลานพอดิบพอดี และการกลับมาของพระเจ้าทั้งทีมันก็ต้องเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่หน่อย ซึ่งซลาตันก็จัดการเหมาสองประตูทำให้ทีมเบียดชนะคู่อริร่วมเมือง 2-1 เป็นการเปิดตัวแบบอลังการเลยทีเดียว และจากชัยชนะนัดดังกล่าวมันก็ทำให้ เอซี มิลานก้าวขึ้นไปยึดตำแหน่งจ่าฝูงของตารางอย่างเต็มตัว ด้วยผลงานชนะรวดทั้งสี่เกมเก็บ 12 แต้มเต็ม ยังไปถึง 9 เม็ดแถมเสียเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะยังดูเร็วไปหน่อยที่จะบอกว่าพวกเขามีลุ้นจะคว้าสคูเดตโตในปีนี้ แต่มันก็ทำให้เห็นว่าพวกเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าฤดูก่อนมากทีเดียวและเมื่อรวมกับปลายฤดูกาลที่แล้วพวกเขาก็ไม่แพ้ใครมาอย่างยาวนานถึง 20 เกมเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากว่าพวกเขาสามารถรักษาผลงานแบบนี้ไปได้อีกซักสองสามเดือน พวกเขาอาจจะมีโอกาสคว้าแชมป์ได้สำเร็จก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าเอซี มิลานจะเป็นทีมใหญ่ทีมหนึ่งของอิตาลี แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมเต็งหนึ่งเต็งสองที่จะจบด้วยการเป็นแชมป์แต่อย่างใด เพราะด้วยชื่อชั้นของของนักเตะในทีมของพวกเขานั้นมันสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ายังเทียบอินเตอร์ มิลาน หรือยูเวนตุสที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลกไม่ติด แต่เมื่อดูจากฟอร์มโดยรวมที่พวกเขานับวันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้บางทีการคว้าสคูเดตโตของพวกเขาที่รอคอยมานานถึง 10 ปีอาจจะสมหวังก็เป็นได้ และที่สำคัญในปี 2010-2011…